วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณค่าของชีวิต

เราเกิดมาเพื่ออะไร?

เป็นคำถามที่หลายคนคุ้นเคยแต่สำหรับบางคนเมื่อได้ฟังแล้วอาจจะนึกภาพไม่ออกก็ได้ว่าทิศทางของคำตอบจะเป็นเช่นไร ผู้เขียนเคยใช้คำถามเหล่านี้ถามนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีหลายคำตอบที่กลั่นกรองมาจากความคิดความรู้สึกของเด็กๆ เช่น เกิดมาเป็นสมบัติของพ่อแม่, เกิดมาเรียนหนังสือ, เกิดมาเป็นคนดี ฯลฯทุกคำตอบล้วนเป็นคำตอบในด้านบวกทั้งสิ้นเหมาะสมกับวัยของเด็กๆอย่างยิ่ง

เรามีหน้าที่อย่างไร?
ปุถุชนอย่างเราเมื่อถึงวันที่เกิดมา มีภาระคือการรับผิดชอบดูแลตัวเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เฝ้ารัก เฝ้ายึดถือในตัวตน และแสวงหาในสิ่งที่สามารถทำให้ชีวิตของตนดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ ในการใช้ชีวิตเพื่อตน การทำอะไรเพื่อคนอื่นที่เราไม่รู้จัก คุ้นเคย ย่อมเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก คนที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นเพียงญาติ มิตร บุคคลในครอบครัว หรือผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับตน นอกนั้น คือ คนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการใช้ชีวิตเฉกเช่น มนุษย์ปุถุชนธรรมดา


คุณค่าของการใช้ชีวิต
ลองให้โอกาสกับตัวเองอีกครั้งในการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดถึงตัวตน รวมทั้งหน้าที่ของการเป็นปุถุชนที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้ สิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าในชีวิตคืออะไร ใช่ว่าเราจะลดความสำคัญในการปรนนิบัติต่อตนเอง เพียงแค่เราลองนึกถึงความสำคัญของผู้อื่นรวมทั้งสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา ทุกอย่างมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น หมั่นปรนนิบัติสิ่งอื่น เฝ้าดู ใส่ใจ ให้ความสำคัญต่อเขา เราจะเห็นคุณค่าของอีกหลายๆชีวิตพร้อมๆกับการเห็นคุณค่าของตนเอง

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การแข่งขันเพื่ออะไร?

ทุกชีวิตที่กำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตให้รอดพ้นจากอันตราย มันเป็นสัณชาตญาณอย่างนั้นหรือ? จนมาถึงปัจจุบันสิ่งมีชีวิตหลายๆชนิดได้วิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการเจริญเติบโตของสมอง ร่างกาย ส่งผลให้อยู่ร่วมกันได้เป็นสังคมใหญ่ แต่การแข่งขัน ความอยู่รอด ก็มีให้เห็นทั้งสิ้่น

ตั้งแต่วัยเด็กผู้เขียนก็เป็นอีกคนที่กระหายคำว่าได้และชัยชนะ อย่างไรก็ดีชัยชนะของผู้เขียนเกิดขึ้นได้ด้วยความเพียรพยายามตามกำลังที่มีในแต่ะช่วงวัย ไม่ได้ไปทำร้ายหรือเหยีบบย่ำผู้อื่นให้จมดินหรือใช้ผู้อื่นเป็นบันไดในการปีนขึ้นไปอยู่บนที่สูง และทุกครั้งที่มีความรู้สึกอยากได้ อยากแข่งขัน เกิดความร้อนรน ร้อนใจทุกครั้ง เมื่อการกระหายชัยชนะได้ปะทุขึ้น ความวิตกกังวล ความเครียดต่างๆก็ตามมา เมื่อได้รับซึ่งชัยชนะก็เป็นสุขเพียงชั่วครู่เมื่อสูญเสียซึ่งชัยชนะต้องตรอมตรมแทบสิ้นใจ แต่สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเหมือนเรื่องปกติของปัจเจกที่ต้องแข่งขันอยู่เรื่อยไปแม้กระทั่งกับตัวเอง.......


จนมาถึงวันนี้เมื่อผู้เขียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และได้ทำหน้าที่ของครูคนหนึ่งที่ไม่คิดเปรียบเทียบเด็กหรือตัดสินใคร ว่าเก่ง/ไม่เก่ง ดี/ไม่ดี ในทางตรงกันข้ามครูคนนี้กับยอมรับในความแตกต่างของศิษย์ และเห็นความงดงามของเด็กๆทุกคน อีกทั้งความไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงของเด็กๆยังทำให้ครูสนุกและได้เรียนรู้วิธีการสอน รวมทั้งได้สรรหากิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือส่งเสริมให้เด็กๆได้มีพัฒนาการต่างๆ ส่วนในอนาคตหากเด็กๆต้องพบเจอกับเวทีของการแข่งขัน ครูเชื่อว่าเด็กๆจะมีภูมิคุ้มกันด้วยปัญญาและความเชื่อมั่นในสิ่งที่เธอเป็น เรียนรู้และเผชิญกับสิ่งที่รออยู่อย่างเข้มแข็ง